วันก่อนได้ไปอ่านกระทู้หนึ่งในห้องศุภชลาศัย อ่านแล้วโดนมากๆ ได้เห็นภาพของวิวัฒนาการของฟุตบอลไทยตั้งแต่ปี 2523 (ผมยังไม่เกิด) พออ่านจบจึงได้รู้ว่าวงการฟุตบอลไทยมันก็คล้ายๆ การเมืองไทย คือ ผู้มีอำนาจทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ได้สนใจภาพรวมว่า วงการฟุตบอลไทย (หรือ ประเทศไทย) จะพัฒนาเติบโตต่อไปอย่างไร ณ วันนั้น เราพอสู้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้ แล้ววันนี้ล่ะ เฮ้อ……..
โพสต์นี้เป็นการคัดลอกมาจากกระทู้ของคุณ Romancini ในห้องศุภชลาศัย นะครับ เพื่อเก็บเป็นความรู้และความเข้าใจในวงการฟุตบอลไทยต่อไปนะครับ ต้องขอขอบคุณ คุณ Romancini มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ทำให้ผม ตาสว่าง สักที
(กระทู้จริงอยู่ที่นี่ครับ)
By Romancini
วันนี้สุขใจจัง ……ทีมไทยแพ้ !!!
ใคร ” ง้าง ” มาแต่ไกล
จะหาว่าผม….ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็น……
” มาเลย์ , อินโด , ลาว , พม่า , บรูไน , กัมพูชา , เวียดนาม , ติมอร์ เลสเต้ …”
ได้โปรดสละเวลาอันมีค่าของท่าน อ่านความคิดของผมก่อน…
ผมเชียร์ทีมชาติไทย มาไม่น้อยกว่า 30 ปี
เริ่มเชียร์มันตั้งแต่สมัย พลเอกอนุ รมยานนท์ เป็นนายกสมาคมเลยก็ว่าได้
สมัยที่ทีมไทย ยังมี…
” สิงห์สนามศุภฯ ” นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ ” ดาวยศ ดารา เจษฏาพร ณ.พัทลุง
ศิริศักดิ์ แย้มแสง นาวี สุขยิ่ง อำนาจ เฉลิมชวลิต เป็นดาราของทีม
ผมเริ่มเข้าไปเชียร์ในสนามศุภฯ เมื่อประมาณปี 2523 – 2524
ยุคเริ่มแรกของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน มาด๊าซ ทองท้วม วรวรรณ ชิตะวณิชย์
เฉลิมวุติ สง่าพล สมปอง นันทประภาศิลป์ สุรัก สุทิน ชัยกิตติ เริ่มที่จะโ่ด่งดัง
มันคือยุคเรืองรองของนายกสมาคมฟุตบอลไทยนาม ชลอ เกิดเทศ
ผมจำได้ว่ากระโดดตัวลอยแค่ไหน
ในวันที่นั่งดูทีวีช่อง 7 ถ่ายทอดสดฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศซีเกมส์ที่สิงค์โปร์ ปี 2526
แล้วเห็นปิยะพงษ์ ผิวอ่ิอน นำทีมชาติไทย ดับซ่าทีมเจ้าภาพสิงค์โปร์
ที่พยายามปั้น ฟานดี้ อาหมัด มาเทียบรัศมีกับเจ้าตุ๊ก ไป 2 – 1 คาสนามกีฬาแห่งชาติสิงค์โปร์
ผมจำได้ถึงความแน่นแทบจะไม่มีที่ยืน บนสแตนด์หลังโกล์ ที่สนามศุภฯ
ในวันที่ทีมชาติไทย ถล่ม อินโดนีเซีย 7 – 0 ในรอบรองชนะเลิศซีเกมส์ปี 2528
และผมยังจำได้ว่าแอบขโมยเงินพ่อ 200 บาท
เพื่อไปดูไทยดับสิงค์โปร์ 2 – 0 หยิบเหรียญทองซีเกมส์ ปีนั้นมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
….
ยังมีต่อ …
ในวันชิงชนะเลิศฟุตบอลชายกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 17 ที่สิงค์โปร์ปี 2536 นั้น
ผมยังจำความระทึกใจ
ที่เห็นทีมชาติไทย ( ชุดที่มีแต่นักเตะพรสวรรค์สูงแต่แรงกายน้อย )
ดวลเพลงเตะอย่างสุดมันกับทีมพม่า
เป็นเกมที่เหล่าขุนพลทีมชาติไทย ทั้งดาวรุ่ง และ เก๋าเกม
ต่างวิ่งไล่บอลกันจนลืมตาย
มันเป็นวันที่ผมได้เห็น นักเตะเทวดาจอมเท้าเอวอย่างปิยะพงษ์ ผิวอ่อน วิ่งจนหอบลิ้นห้อย
ผมได้เห็นนักเตะที่ชอบเดินเล่นบอลอย่างวิทูรย์ ใส่ไม่ยั้ง ไล่บอลทุกลูกอย่างลืมตาย
เวลาใกล้จะหมด เกมบีบอารมณ์ทั้งนักเตะ และคนดูกองเชียร์ชาวไทยที่หน้าจอทีวี
สกอร์ที่เสมอกันอยู่ที่ 3 ประตูต่อ 3 นั้น
ประตูต่อไปมันคือการการันตีเหรียญทองสุดท้าย ทันที !!!
และทันใดที่ลูกโหม่งส่งต่อของนักเตะหน้าใหม่ที่ชื่อ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ดันพุ่งวาบเข้าประตูพม่าไป ….
4 – 3 มันคือสกอร์ที่สุดสวยงาม ของ ” คนไทยทั้งประเทศ ”
มันคือ ” ความสุข ”
ที่เหล่าขุนพลนักเตะทีมชาติไทย
ใช้มันเป็นเครื่องตอบแทนเหล่าแฟนฟุตบอลชาวไทย
ที่ทุ่มแรงใจเชียร์พวกเขามาตลอดทั้งทัวนาเม๊นต์
มันคือความประทับใจ และหึกเหิมที่เราทั้งหมดเป็น….” คนไทยร่วมชาติ ”
สิ่งเหล่านี้ มันมากกว่าคำว่า……” เหรียญทองฟุตบอลชาย ของกีฬาซีเกมส์ ”
….. ยังมีต่อ
และใครหลายๆคนในนี้ คงจะยังจำได้เหมือนกันกับผม
ถึง บรรยากาศที่มีแต่ความสุข
ในวันที่ ทีมชาติไทยของเรา ผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ที่เ้ชียงใหม่ เมื่อปี 2538
วันนั้นทีมเวียดนาม หมายมั่นปั้นมือมากที่จะสยบทีมฟุตบอลของเราให้ได้
แต่เมื่อเกมส์จบลงด้วยสกอร์ 4 – 0
ทั้งเนติพงษ์ , เกียรติศักดิ์ , ตะวัน , ดุสิต และเพื่อนร่วมทีมทุกคน
ทำให้เวียดนามได้รู้และจำใส่ใจว่า…..
เหรียญทองฟุตบอลนี้เป็นของ ” คนไทยทั้งประเทศ ”
เหล่านักเตะไทยทุกๆคน จะไม่มีวันให้..
ใครหน้าไหนมาสยบ และเอามันไปต่อหน้าต่อตาคนไทย
ทั้งที่สนามเชียงใหม่ และหน้าจอทีวีทั่วประเทศได้ ……ไม่มีวัน !!!!
คุณยังจำได้ไหมว่า…….
คุณรู้สึก ” ภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนไทย ร่วมกับเหล่าขุนพลนักเตะทีมชาติไทย ” แค่ไหน ???
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่…..” เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ เท่านั้น !!! ”
……เดี๋ยวมีต่อ
” ตำนาน ” ความยิ่งใหญ่เหล่านี้
ที่เขียนขึ้นมาด้วย …..
หยาดเหงื่อ เลือด และแรงกาย แรงใจ ของเหล่านักฟุตบอลไทยรุ่นแล้ว รุ่นเล่า
บางครั้ง มันก็กลายเป็นดาบสองคม
ที่สะสมเอาไว้ รอวันและเวลาที่จะย้อนกลับมาทำลายเราได้
หากว่าเราตกอยู่ใน ” ความประมาท ”
ความหลง เพ้อพก ว่าทีมฟุตบอลไทยของเรานั้น เก่งกล้า และยิ่งใหญ่ เหนือกว่าใครๆ
” ความประมาท ทะนงตน มันคือหนทางของความเสื่อม ” ใครๆก็รู้
แต่
เราก็เลือกที่จะหลงลืมมันไป …..
……..ยังมีต่อ
หลังจากที่ผมนั่งมองพัฒนาการของทีมชาติไทย
มาไม่น้อยกว่า 30 ปีแบบนี้
มันทำให้ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างช้าๆ แต่มั่นคง
ที่นำพาเอา ” ความประมาท ” เข้ามาสู่ทีมชาติไทย
มันมาอย่างเงียบๆ …..
มันมาทีละนิด…………
แต่มันมาอย่างเป็นขั้น เป็นตอน……..
มันใช้เวลา มันรอคอยอย่างเยือกเย็น ……..
” ความเสื่อม ” ของฟุตบอลไทยมันเริ่มขึ้น หลังจากวันที่สวยงามที่สุด สงบที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทย
เราเก่งกล้าสามารถ จนก้าวกระโดดขึ้นไปเล่นได้อย่างสูสีกับยอดทีมของเอเซีย
หลังจากการมาของปีเตอร์ วิธ และการได้ที่ 4 ในกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ที่กรุงเทพปี 2541
หลังจากนั้น เราได้เข้าไปเล่นในรอบ 10 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกโซนเอเซีย ในปี 2544
มันคือการพัฒนาที่คนในรุ่นผมรอคอยมาอย่างแสนนาน
มันคือ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่ทีมชาติไทย เดินมาอย่างถูกที่ถูกทาง
แต่แล้วความเสื่อมก็มาถึง…..
ปีเตอร์ วิธ ทำงานด้วยความโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของคนในสมาคมฟุตบอลไทย
ความหมั่นไส้ มีมาจากคำตำหนิที่ออกจากปากของนายกสมาคมฟุตบอลไทยในเวลานั้น
” เป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไำทย ใส่กางเกงขาสั้นยืนช้างสนามได้อย่างไร ??? ผมจะต้องเรียกเขาเข้ามาคุยแล้ว ”
หลังจากวันนั้น ปีเตอร์ วิธ กับการพัฒนาของทีมชาติไทย ก็โดนกระตุกกลับ
ปีเตอร์ วิธ ไม่มีสมาธิกับการทำงานคุมทีมชาติ
ทั้งเรื่องราว ที่ขวางหูขวางตาสมาคม ทั้งเรื่องราวของการต่อสัญญาที่เริ่มจะเป็นปัญหา
ข้อแม้ที่สุดหินโดนสร้างขึ้นมา เพียงเพื่อที่จะใช้มันเตะตัดขาโค๊ชจากแดนผู้ดีคนนี้
เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 14 ต้องเข้ารอบรอง
เอเชี่ยนคัพ ต้องเข้ารอบ 2 และอื่นๆอีกมากมาย
จนวันที่ปีเตอร์ วิธ พลาดก็มาถึง เมื่อไทยพ่ายต่อเกาหลีเหนือ คาราชมังคลา
ปีเตอร์ วิธ ก็ต้องเก็บกระเป๋าลาจากไป…..
……….ใกล้จบแล้ว
แผนการดำเนินไปอย่างมีระบบ
โค๊ชชัชชัย โดนดึงเข้ามาเป็นหนังหน้าไฟได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้ชะตากรรมของตัวเอง
การสละเรือกลางอากาศ และบอกเลิกศาลา กับสมาคมฟุตบอลไทย
มันคือ สิ่งที่โค๊ชจอมขัดตาทัพทำเป็นครั้งแรก….
” ต่อไปนี้ หากสมาคมหาใครคุมทีมไม่ได้ ก็อย่ามาเอาผมไปทำอีกเลย ผมพอแล้ว ”
มันคือ ” รหัสลับ ” ที่โค๊ชชัชชัยเผยออกมาให้แฟนฟุตบอลชาวไทยได้รู้ถึงการทำงานภายในของสมาคมฟุตบอลไทย
จนถึงวันหนึ่งนายกคนเก่าก็แพ้ภัยตัวเอง ถอยหลังมายืนดูอยู่ในมุมมืด
นายกสมาคมฟุตบอลไทยคนใหม่ก็มาถึง
แต่มันคือ ” เหล้าเก่าในขวดใหม่ ” ที่มีรสกร่อยอย่่างเหลือรับ
การตั้งโค๊ชหรั่งที่ว่านอนสอนง่าย เป็นคนของสมาคมมาครึ่งชีวิต
ทำให้การพัฒนาของฟุตบอลทีมชาติไทยหยุด และเริ่มที่จะถอยหลังกลับ
เรายังเป็นเบอร์ 1 ของอาเซี่ยน
เราเป็นแชมป์ซีเกมส์ อย่างผูกขาดแม้ว่าเราจะใช้ชุดเด็กลงไปเล่น
เราจะมีวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อการพัฒนาอย่างมีเป้าหมาย
เราจะมีโน่น เราจะไปนี่ เราจะ ……..แล้ว ก็ ” เราจะ ”
มันเป็นเพียงแต่คำพรํ่าเพ้อ
ของนักสร้างภาพชั้นดี ที่มีดีกรีฟีฟ่าเมมเบอร์ติดอยู่ที่ด้านหลัง
แต่ในความเป็นจริงแล้วสุดขมขื่น….
เรา แพ้สิงค์โปร์ ในฟุตบอลไทยเกอร์ คัพ !!!
เรา แพ้รวดแบกประตูจนหลังตุง ในการคัดเลือกฟุตบอลโลก !!!
ทีมไทยที่สุดแข็งแกร่งและเล่นอย่างมีระบบ ในยุคปีเตอร์ วิธ ได้สาบสูญไปแล้ว !!!
…….อีกนิดเดียวแล้ว
เมื่อทีมชาติไทยมีผลงานที่ถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ
โค๊ชหรั่ง ก็ทนต่อคำสาบส่งจากทุกสารทิศไม่ได้ การลาจากก็เป็นทางเลือก
แต่สมาคมฟุตบอลไทย ก็ยังเป็นของกลุ่มคนหน้าเดิม
ที่นั่งกอด ” ผลประโยชน์ ” อย่างเหนียวแน่นเป็นกลุ่มเป็นก้อน
การมาถึงของปีเตอร์ รีด กุนซือตกงาน ที่มาพร้อมกับสัญญาที่เป็นปริศนาดำมืด
อาจจะทำให้กระแสที่ถล่มใส่สมาคมฟุตบอลไทย ซาลงไปบ้าง
แต่เวรกรรมมันมีจริง
สมาคมฟุตบอลไทย ที่มีจุดกำเนิดจากเบื้องสูง
ใครมาอาศัย เพื่อใช้ในการกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่พวกพ้องมักมีอุปสรรค
จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมากลางสมาคมฟุตบอลไทย
ปีเตอร์ รีด ประกาศการไปร่วมงานกับทีมสโต๊ค ลอยแพทีมชาติไทยไปอย่างไม่ใยดี
คราวนี้ตาเหลือกกันทั้งสมาคม ” จะหาใครมาเป็นหนังหน้าไฟแทนดีหว่า ”
อุตส่าห์บินไปใช้ตำแหน่งเมมเบอร์ฟีฟ่าบีบ ปีเตอร์ รีดก็แล้ว
ยอมเสนอให้คุม 2 จ๊อบโดยมีทีมชาติไทยเป็นลูกเมียน้อยก็กล้าเสนอ
แต่ก็เจอเซยโน ลูกเดียว
ไหนๆก็ไหน เอาคนข้างตัวขาประจำแมนยู คาเฟ่ สุขุมวิท 11 แต่ดีกรีบารมีเก่าเหลือล้นนี่ล่ะว๊า
แฟนฟุตบอลไทยคงหูตั้ง ตาตั้งกันทั้งประเทศ ที่ได้กับตันมาร์เวลมาคุมทีมชาติ
แต่บอกแล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
หลังจากที่ชนะสิงค์โปร์ได้แบบนำไปก่อน เกมเลยเปลี่ยน ที่บ้านของเขา
ก็มาดวงแตก แพ้มันคากรุงเทพแบบหน้าตาแหกหมอไม่รับเย็บ
โดนด่าเรื่องบอลแพ้ไม่พอ
ไหนจะโดนคนดูก่นด่าสปอนเซอร์ใหม่ของทีมชาติไทย ที่ห้ามกระทั่งเอาหมูปิ้งเข้่าสนาม
เวรกรรมกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างมั่นคง…..
……..
เหลืออีก 1
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่
ที่หวังจะใช้ดึงวิกฤติ ให้กลับมาเป็นโอกาส อีกครั้งก็คือ……
” ของตาย ” เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ !!!
สิ่งที่….. เคยช่วย ต่ออายุ ยืดชะตา สร้างภาพ ให้แก่สมาคมฟุตบอลไทยมาโดยตลอด
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาร ในเมื่อ ความประมาท และเวรกรรม กำลังตามเอาคืน
เกมแรกกับเวียดนาม เราก็โดนจุดโทษในนาทีสุดท้าย …..เสมอเหมือนแพ้
เกมที่สองกับกัมพูชา เราก็ชนะแบบไม่มีใครในเมืองไทยประทับใจ….
เกมที่สามกับติมอร์ ไม่ชนะก็บ้าแล้ว….
และแล้ว ….
หลังจากขึ้นนำมาเลเซียไปก่อน ดวงเราก็แตก
เมื่อนักฟุตบอลของเราเล่นแบบ ” ไม่มีใจ ”
การที่เรา….. ประมาท , ทะนงตน ว่า เราคือเบอร์ 1 อาเซี่ยน มาตลอด
เราโดน มาเลเซียยิงตีเสมอ เราจึงตกตะลึงทำอะไรไม่เป็น
และแล้ววินาทีที่ช่วยดึงเรากลับมาสู่ความเป็นจริงก็มาถึง
1 – 2 เราแพ้แล้ว !!!
เราไม่ใช่เบอร์ 1 ของอาเซี่ยนแล้วหรือ เราหลอกตัวเองมาตลอดหรือไร ???
สิ่งเดียวที่จะทำให้สมาคมฟุตบอลไทยใช้สร้างภาพต่อ มันได้สลายหายไปกับแดดยามเย็นของเวียงจันท์หมดสิ้นแล้ว
…..
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ มันมีข้อดีมหาศาล
มันเป็นการ ดึงเรากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้สักที
มันจะเป็นจุดสิ้นสุดของผลงาน ” ผักชีโรยหน้า 8 สมัย ที่สมาคมฟุตบอลไทยใช้หากินมาเป็น สิบๆปี ”
มันเป็นเวรกรรม ที่ทุกๆคนในสมาคมฟุตบอลไทยต้องร่วมกันรับ
คุณต้องหยุดสร้างภาพ กอบโกย ผลประโยชน์
แลัวหันกลับมานั่งหาวิธีการที่จะนำพาศรัทธาที่สูญเสียไปกลับมา จริงๆสักที
และการพ่ายแพ้ในครั้งนี้
มันเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้นักฟุตบอลไทยรุ่นหลัง ที่ทนงตน ว่าเราเก่ง เราเหนือกว่าใคร
ได้รู้ว่า….
สิ่งเหล่านี้ กว่าที่จะได้มันมา ต้องใช้เวลาที่จะสร้างสม
ที่คุณจะต้องร่วมกันสานต่อมันเอาไว้ แทนคนรุ่นก่อนที่เขาพากเพียรสร้างมันมา
ในทุกครั้ง….
ที่ ” ธงไตรรงค์อยู่บนอกข้างซ้ายของพวกคุณ ”
จำมันเอาไว้เถอะครับ เพราะมันไม่ใช่แค่เพียง ” เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ ” เท่านั้น
แต่มันคือ……” ศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศ ” ที่มีต่อคุณ !!!
นี่ละครับ ผมถึงสุขใจ ที่ทีมชาติไทยที่ผมรัก …..” พ่ายแพ้ในวันนี้ ”
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านมาจนจบครับ ทุกๆท่าน….
Credit: คุณ Romancini ที่กระทู้นี้
ไม่ค่อยรู้เรื่องวงการฟุตบอลไทยเท่าไหร่ แต่เรื่องอย่างว่า..มันก็มีอยู่ในทุกวงการนั่นแหละ
ใครมีเส้น มีสาย ใครไปขัดขาใคร อาจโดนเด้งฟ้าผ่าได้ เป็นอยู่ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยห่างหายไปจากสังคมไทย เพราะนิสัยคนไทยที่นิดๆ หน่อยๆ ก็หยวน อะไรๆ ก็พี่น้อง ต้องช่วยเหลือพี่น้อง (คนรู้จัก) กันก่อน แป๊ปๆ ลืม…บ้านเมืองเราเลยเป็นงี้ไง เพื่อนบ้านเราจะไปถึงไหนกันแล้ววว..ประเทศไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา (ตั้งแต่ตอนเด็กที่เรียน) มันก็ยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ ณ ปัจจุบัน อยากรู้จิงๆ ตอนแก่ ประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่อีกมั้ย???
ได้อ่านกระทู้นี้แล้วเหมือนกันอ่านแล้วมองเห็นอดีตเลยนะ ชื่อนักฟุตบอลหลายๆคนที่เค้าพูดถึงแม้เด็กสมัยนี้จะไม่รู้จักแต่ผมรู้จักเกือบหมด (ฮ่าๆ แก่) แม้ว่าตอนนี้ผมเองไม่สนใจฟุตบอลเลย (เพราะเหตุผลส่วนตัวที่งี่เง่าบางอย่าง ฮ่าๆ) แต่ในสมัยก่อนก็ชื่นชอบฟุตบอลไทยนะ ได้ไปดูพี่ตุ๊กในสนามก็หลายครั้ง ลีลาการเล่นของพี่ตุ๊กยังติดตาอยู่เลย
@Porlek จริง ไม่รู้ว่าเราจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาไปถึงเมื่อไหร่ นี่ขนาดวงการฟุตบอลนะเนี่ย ถ้าขยายวงเป็นระดับประเทศ จะมีอะไรที่เราพูดไม่ได้อีกเยอะ
@Kotaroz สุดยอดจริงๆ ครับมีรสนิยมในหลายเรื่องจริงๆ อย่างงี้ต้องเรียกว่า “พหูสูตร” ซะแล้ว
ถึงแม้ผมจะไม่ทันได้ไปดู พี่ตุ๊กในสนาม แต่ยุคหลังจากนั้นที่ผมได้ไป ผมก็ว่าคนดูแน่นสนามนะ หรือถ้าถ่ายทอดทีวี คนแถวบ้านก็จะจับกลุ่มกันดู เดินไปไหนมาไหน ได้ยินเสียงเชียร์ตลอด
ร่วมกันส่งแรงใจให้ประเทศไทยของเรา ก้าวพ้นคำว่า “ประเทศกำลังพัฒนา” สักที
ผมคงไม่กล้าด่าเกมทายผลบอลของเว็บผู้จัดการว่ามันห่วย ถ้าผมเขียนโปรแกรมไม่เป็น
ถ้าใครคิดจะด่าสมาคมฟุตบอลที่แพ้สิงคโปร์คาบ้าน ด่าที่ตกรอบแรกซีเกมส์ ต้องดูตัวเองก่อน ว่าคุณดูบอลไทยบ้างหรือเปล่า