Seven something

0
501

เวลา ๗ ปี ………. ทำให้เด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกคนหนึ่ง ได้กลายเป็นเด็กในวัยอยากรู้ ช่างสงสัย ทุกสิ่งรอบตัวเป็นสิ่งสนุกสนาน ในวัยประถม
 
เวลา ๗ ปี ………. ทำให้เด็กในวัยประถม กลายเป็นเด็กมัธยม ผู้ซึ่งเริ่มมีสังคม มีเพื่อน และเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น
 
เวลา ๗ ปี ………. ทำให้เด็กมัธยม กลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่สมบูรณ์ เตรียมพร้อมกับการออกไปค้นหา และสำรวจโลก
 
เวลา ๗ ปี ………. ทำให้คนในวัยทำงานคนหนึ่ง พัฒนาเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดความอ่านที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ ทั้ง หัวหน้า ผู้บริหาร พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ
 

 

ปฐมบท

“มึงทำงานอะไรอยู่นะ……. เรียนจบโทหริอยัง?” พี่โจ้ พี่ชายผู้กลายเป็นเมนทอร์ ในชีวิตผมในเวลาต่อมา กำลังหากลุ่มผู้คนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยงานที่ธนาคารกสิกรไทย
 
 
“ผมจะทำได้หรือพี่ ไม่เคยทำการเงินมาก่อนเลย” ผมตอบไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วก็สนใจ เพราะก่อนหน้านี้ ในขณะที่กำลังศึกษาปริญญาโทอยู่นั้น ก็มีความชอบในวิชาการเงิน และทำได้ดีพอสมควร
 
“มึงนิสัยดี เข้ากับคนง่าย มีอยู่ในทีมแล้ว โอเค ส่วนเรื่องความรู้เดี๋ยวมาเรียนรู้ได้ กูสอนให้เอง” นั่นคือ สิ่งที่พี่โจ้ตอบ และทำให้ผมใจชื้น แล้วตัดสินใจว่า “ลองดูสักตั้ง” ยังไงก็คงมีพี่โจ้ช่วยประคองและสอนงานให้
 
เดิมทีผมทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบและสนุก ทำให้ผมตัดสินใจยากมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ต้องเลือก “สละ” สิ่งหนึ่งเพื่อ “ค้นหา” อีกสิ่งหนึ่ง
 
การสัมภาษณ์เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่ ทรู คอฟฟี่ สาขาสยามสแควร์ โดยมี พี่นพ และ พี่โจ้ เป็นผู้สัมภาษณ์ ในเวลาต่อมาไม่นาน ผมก็ได้งานที่นี่ ผ่านการตัดสินใจอนุมัติอันเด็ดเดี่ยวจากพี่ส้ม  แม้ว่าในวันสัมภาษณ์นั้นผมจะรู้สึกว่าตอบคำถามได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ตอบตามความเข้าใจและความรู้ที่มี ณ วันนั้น แถมยังไม่มีประสบการณ์การทำงานทางด้านการเงินการธนาคารใดๆ มาก่อนเลย
 
คำขอบคุณ: พี่โจ้ ผู้ชี้แนะแนวทางเสมอมา, พี่นพและพี่ส้ม ผู้ให้โอกาสและกล้าที่จะเลือกรับคนอย่างผมเข้าทำงาน
 

แยกร่าง

เหมือนฝัน….. สภาพทีมและฝ่ายในเวลานั้นต้องเรียกว่าสุดยอดมากๆ ทุกคนสนิท เหนียวแน่น กลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก หนึ่งเดือนแรกของการทำงาน ผมจำได้เลยว่าพี่ๆ ได้พาผมออกไปทานอาหารกลางวัน ต่างร้านกันตลอดทั้งเดือน
 
ผมโชคดี ได้พี่กะทิ เป็นบัดดี้ คอยสอนงาน และช่วยเหลือในด้านต่างๆ พี่โจ้คอยประสิทธิ์ประสาทความรู้ และให้คำแนะนำในการใช้ชีวิต ได้พี่ตุ๊ก พี่นพเป็นแกนกลางยึดเหนี่ยวจิตใจ ของทุกคนจนสนิทกันได้ขนาดนี้ ทำงานมาหลายที่ก็ไม่เคยเจอที่ไหนสนิทกันขนาดนี้ สภาพทีมที่อบอุ่นขนาดนี้ ผสานกับการสอนงานที่เอาใจใส่และเป็นกันเอง ทำให้ผมเชื่อแน่แล้วว่า ผมตัดสินใจไม่ผิด
 
พลันตื่น….. เวลาน้ำผึ้งพระจันทร์ของผมเกิดขึ้นเพียงแค่สามเดือน การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ทำให้ทีมที่อบอุ่นนั้นต้องย้ายไปอยู่ฝ่ายงานอื่น เหลือเพียงพี่บัดดี้ที่ยังคงอยู่คอยสอนงานผม (ไปอีกระยะหนึ่ง) เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้มีหัวหน้าใหม่ คือ พี่วี และเพื่อนร่วมงานใหม่ทั้ง พี่เลี๊ยก น้องตั๊ก พี่ฮิม พี่เก๋ ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาเพียงสามเดือน ทำให้ผมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม ภายในใจนั้นรู้สึกสั่นคลอน อยากจะหางานใหม่ แต่เราจะทำอย่างไร ในเมื่อเพิ่งเปลี่ยนสายงานมาเพียงสามเดือน หรือเราจะกลับไปทำสายงานคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ที่เราจากมา? คำถามเหล่านี้ วนเวียนอยู่ในตัวผมเป็นเวลาหลายสัปดาห์
 
ฟื้นมา….. ทุกวิกฤติมีโอกาส คำกล่าวนี้ช่างคมคายยิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันย่อมขึ้นอยู่กับทัศนคติของผู้ที่อยู่ในวิกฤตินั้นด้วยว่าจะมองเห็นมันเป็นโอกาสหรือไม่ ย้อนกลับไปก่อนหน้าไม่นาน ผม พี่โจ้ และพี่กะทิ ได้มีโอกาสไปร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่ง นามว่า พี่สำมิตร เป็นการประชุมที่พี่สำมิตรต้องการให้รายงานที่ผมทำอยู่เป็นรายเดือนนั้น เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็น รายวัน เพื่อใช้ในการบริหารจัดการที่ทันท่วงที ในเวลานั้นเองในหัวของผมพลันคิดถึงแต่วิธีการว่าจะทำอย่างไรให้ได้รายงานเป็นรายวัน และในแบบที่เราไม่เหนื่อยด้วย พี่ๆ ที่มาประชุมด้วยกันก็พยายาม ต่อรองเป็น รายสองสัปดาห์บ้าง รายสัปดาห์บ้าง เพราะพี่ๆ เกรงว่า ผู้ทำอย่างผมจะต้องทำจนเหนื่อยและเบื่อ ทันใดนั้นเองผมก็โพล่งออกไปว่า “ผมว่าผมทำรายวันได้ครับ” ผมตอบออกไปไม่ใช่เพื่อจะเอาหน้า สร้างผลงาน แต่โพล่งออกไปเพราะเกิดไอเดียการเขียนโปรแกรมเพื่อจะดึงรายงานให้เป็นอัตโนมัติ พี่สำมิตรตอบกลับทันควัน “ไม่เจอน้องที่มีทัศนคติแบบนี้มานานแล้ว”
 
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสของผม จนต่อยอดทำให้ในเวลาต่อมา ผมได้รับความไว้วางใจจาก พี่อั๋น พี่เชษฐ์ และ พี่วี ที่มอบหมายให้ผมได้เป็นนักวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกลุ่มงานที่พี่สำมิตรดูแล
 
คำขอบคุณ: พี่สำมิตรผู้มอบโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ฝีมือ, พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในฝ่ายสธ.ทุกท่าน ที่ทำให้ผมเข้าใจว่าที่ทำงานคือบ้านหลังที่สองเป็นอย่างไร ทั้ง พี่อั๋น พี่เชษฐ์ พี่ส้ม พี่นพ พี่วี พี่หลี พี่ก้อย(อร) พี่ก้อย(ชว) พี่โจ้ พี่กะทิ พี่เตย พี่เก๋ พี่ฮิม พี่ตุ๊ก พี่อ้อ พี่หนุ่ม พี่ป๊อก พี่แป๊ก พี่กิจ พี่วิว พี่เอ พี่คม พี่ต๋อง พี่แอ้ พี่บัว พี่หยี พี่เยี่ยม พี่ปอ ตั้ม น้องตั๊ก น้องโด่ง น้องพง แยม แอ๋ม ปุ้ย ยุทธ วร และท่านอื่นๆ อีกมาก ที่ผมมิอาจกล่าวถึงได้หมด
 

ผสานพลัง

เมื่อตั้งหางเสือไว้ถูกทิศ สิ่งที่คิดต่อไปก็คือ ตั้งใจทำ จากนั้นก็แค่รอเวลา ให้จังหวะและโอกาสหมุนมาที่เรา และไม่นานจนเกินรอ โอกาสนั้นก็มา เมื่อผมได้วิเคราะห์งานชิ้นหนึ่ง และผลของงานนั้นทำให้สายงานธุรกิจ เข้าใกล้เป้าหมายประจำปีไปอีกนิด ซึ่งไม่น่าจะใช่สาระสำคัญเท่าใดนัก แต่ พี่ก้อย (อร) มองว่าเมื่อผลงานของผมช่วยสายงานธุรกิจได้ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรมองข้าม จึงเชื้อเชิญผมให้ไปนำเสนอผลงานในเวทีใหญ่ เวทีที่ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของสายงานธุรกิจในระดับเดียวกับพี่สำมิตร ทั้ง พี่เบน พี่อู้ด และหัวหน้าใหญ่ ผู้บริหารสายงาน พี่วศิน
 
เหตุการณ์นี้เป็นอีกจุดหนึ่ง ที่เริ่มๆ จะเชื่อมต่อกับจุดอื่นๆ ก่อนหน้า ที่ขยายผลทำให้ผมได้รับโอกาสรับใช้สายงานธุรกิจเรื่อยมา และขยายขอบเขตของงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเรียกได้ว่าเสมือนผมทำงานอยู่ในสายธุรกิจด้วยซ้ำไป
 
การได้ทำงานให้สายงานธุรกิจทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก และ เร็วมาก มีครั้งหนึ่ง ผมตั้งใจวิเคราะห์งานอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยทำมา เพื่อจะค้นหาสาเหตุถึงผลการดำเนินงานที่ไม่ถึงเป้าหมายในปีก่อนหน้า แต่หลังจากที่นำเสนอไป พี่วศิน ก็ติงและทักผมมาว่า “มันก็ดีนะที่มาวิเคราะห์ให้พี่ดูว่า พี่ตีหลุมหนึ่ง ยังไง ต้องปรับปรุงตรงไหน แต่ตอนนี้พี่อยู่หลุมเก้าแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าจะมาแนะนำพี่เลยว่าให้พี่ตีหลุมเก้าอย่างไร” ได้ยินครั้งแรกผมถึงกับเสียศูนย์ไปชั่วขณะ เพราะมัวแต่ไปคาดหวังว่าสิ่งที่เราทำมาอย่างเต็มที่จะต้องดี จะต้องสมบูรณ์ เมื่อตั้งสติได้ ก็ลองมองเหตุการณ์นี้ใหม่ สิ่งที่พี่วศินสอนสั่งนี้ไม่ได้ทำให้ผมท้อใจ แต่กลับทำให้ผมตาสว่าง มองเห็นโลกในมุมกว้าง และใช้เป็นจุดยึดในการทำงานเสมอมา เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ถ้าเราไม่ได้ลองพยายามให้เต็มที่ก็จะไม่มีวันได้รับ
 
คำขอบคุณ: พี่วศิน พี่สำมิตร พี่เบน พี่อู๊ด ผู้ให้ความเอ็นดู และหยิบยื่นโอกาสให้กับผม, พี่กิฟต์ ผู้อยู่เบื้องหลังในการส่งมอบโอกาสต่างๆ และช่วยเสริมแรงในบางครั้ง, พี่ๆ ทีมลีด กลุ่มลูกค้าสหบรรษัท และลูกค้าบรรษัททุกท่าน ที่เอ็นดูผมเสมอมา
 

พุ่งไปข้างหน้า

เวลาเปลี่ยน เพื่อนร่วมทางก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป ….. ถือว่าผมค่อนข้างโชคดีที่ได้ร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงที่หลากหลาย ทำให้ผมได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง แต่ทว่าสร้างสรรค์ และก็เป็นอีกครั้งที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร ผมได้เปลี่ยนผู้บริหารสายงาน จาก พี่อั๋น เป็น พี่วัลลภ ได้เปลี่ยนผู้อำนวยการ จาก พี่ส้ม เป็น พี่ยุ้ย ซึ่งพี่ทั้งสองท่านได้ช่วยหล่อหลอมให้ผมเติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคง บนความมั่นใจที่เพิ่มพูน
 
ทีมงานก็เปลี่ยน ….. จาก พี่เลี๊ยก น้องตั๊ก น้องปาล์ม น้องเธอ เปลี่ยนเป็น น้องตั๊ก น้องนอ น้องตั้น น้องเมธ น้องตั้ม เรื่อยมาจนถึง น้องปอย น้องโย น้องหลิน น้องตง น้องเติร์ด และ น้องอุ่น บนบริบทของงานที่ค่อยๆ ปรับเลี่ยนไป
 
เมื่อทีมครบ ก็พร้อมรบกับทุกศึก …… ภายใต้การบริหารงานของพี่วัลลภ และ พี่ยุ้ย ทำให้เรือลำใหญ่นี้ แล่นผ่านนาวาต่างๆ มากมาย ผลงานเริ่มเป็นที่ประจักษ์ ทุกคนร่วมแรงร่วมใจผลักดันให้เรือลำนี้ พุ่งทะยานไปข้างหน้า แน่นอนว่าพี่วัลลภ และ พี่ยุ้ย เป็นสองผู้มีพระคุณกับผม ที่ทำให้ผมกลายเป็นผมในทุกวันนี้
 
ในขณะที่เรือลำนี้กำลังพุ่งไปข้างหน้านั้น กาลเวลาก็ยังคงทำหน้าที่ของมัน ผมได้รับโอกาสที่พี่กิฟต์ชวนผม ไปแนะนำตัวและแนะนำงาน ให้กับผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ ที่ชื่อ พี่หน่อย ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ ในวันที่ไปที่โต๊ะของพี่หน่อย พร้อมพี่กิฟต์ นั้น ผมก็ได้รับฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ ที่ทำให้ผมเข้าใจว่า ในตำแหน่งระดับนี้ คงไม่มีใครได้มาเพราะโชคช่วยเป็นแน่แท้ มิเพียงเท่านั้น ผมยังได้ร่วมงานกับ พี่เดช และ พี่ทีม ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของสายงานธุรกิจในเวลาต่อมา
 
ไม่เว้นแม้กระทั้่งผู้บริหารสายงาน ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติม จากผู้บริหารสายงานธุรกิจคนใหม่ ทั้งพี่ปั่น พี่หมู พี่อู๊ด และ พี่ปั๋ม ที่มีแนวคิด วิสัยทัศน์ที่เด่นชัดและเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมไปไม่มีที่สิ้นสุด
 
ภายในเรือของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ผมยังได้ร่วมงานกับผู้บริหารสายงาน ทั้ง พี่เล็ก และ พี่ตาว ผู้ซึ่งต่อมาได้มอบโอกาสสำคัญให้ผมได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแนวการปรับปรุงกระบวนการ หรือ งานในแนวการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และได้ใช้ทักษะใหม่ๆ ผสานกับทักษะเดิมๆ ที่เคยทิ้งไว้ให้รกร้าง ได้กลับมาทำงานในบริบทของมัน ในส่วนของผู้บริหารระดับสูง ผมก็ได้รับโอกาสที่สำคัญที่ได้เรียนรู้จากพี่ๆ ผู้บริหาร ทั้ง พี่พรรณี พี่โก้ พี่เก๋ พี่อึ๊ง พี่เกรียง พี่อู๊ด พี่ตุ๋ม พี่โป้ง พี่โป่ง พี่เดียร์ พี่โอ๋ พี่โจ้ พี่เหน่ง พี่เป๊กกี้ และอีกหลายท่าน นอกจากผู้นำเรือและผู้บริหารแล้ว ผมยังได้ร่วมทางเดินกับ พี่ๆ ในเรือ ทั้ง พี่มน พี่ตั้ม พี่วี พี่เอ๋ (ดวงพร) พี่หนึ่ง พี่หลี  พี่เอ๋ (อาภากร) น้องนัท และ อีกครั้ง พี่ก้อย (ชว) ผู้เป็นห่วงเป็นใยผมเสมอมา ตลอดจน เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคน ที่ทำให้เรือลำนี้ เป็นเรือที่พิเศษมากๆ สำหรับผม
 
ในนาวามิได้มีเรือเพียงลำเดียว ….. ผมได้มีโอกาสประสานงาน กับเรือลำอื่นอีกหลายลำ อาทิ หัวหน้าเรือการเงินที่ชื่อ พี่อิ๊งค์ และทีมงานทั้งพี่น้ำ พี่หยก ลิซ่า ต้น เต้ พี่ตู้ พี่เปิ้ล พี่ไก่ – พี่อิ๊งค์เป็นพี่ต้นแบบทางวิชาการที่ค่อนข้างเอ็นดูผม ผมได้ค่อยๆซึมซับว่า การสอบไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการเรียนรู้ ทว่า ชีวิตคือการเรียนรู้ไปตลอดต่างหาก ตลอดจนเรือลำอื่นๆ ทั้งพี่แนท พี่โชค พี่แอน พี่โช เอ เพชร พี่นัทชา พี่โอ๋ พี่ฝน พี่แอ้ พี่ลิ้ม พี่ดี๊ พี่เต๋ พี่กลาง พี่เหมียว และท่านอื่นๆ อีกมากมาย มิรู้จะกล่าวอย่างไรได้หมด
 
คำขอบคุณ: ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน ที่นำพาประสบการณ์อันล้ำค่าเหล่านี้ที่มันจะฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจของผมตลอดไป เป็นประสบการณ์ที่เรียนปริญญาอีกกี่ใบ ก็คงไม่มีทางได้รับ
 

เปลี่ยนแปลง

เมื่อจดบันทึกความทรงจำจนถึงสุดขอบหน้ากระดาษ ก็ถึงเวลาที่ต้องขึ้นหน้าใหม่
 
ผมไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่ชัดคือเราถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง เราจะเจอผู้บริหาร หัวหน้า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ดีขนาดนี้อีกหรือเปล่า มันคงเป็นปริศนาที่ ผมเท่านั้นต้องออกไปค้นหาคำตอบ
 
ผมเข้าใจว่ามันเป็นครรลองของชีวิต
ถ้ามิได้ลอง ก็อาจต้องตรอง คาใจไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะขอบคุณอีกกี่ร้อยหมื่น ก็คงไม่เพียงพอกับสิ่งที่ธนาคารแห่งนี้มอบให้แก่ผม
 
และนี่คือเรื่องเล่า ๗ ปี กว่าๆ ของผมที่ธนาคารกสิกรไทย
 
สัณฑ์ คุณะวัฒนากรณ์
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here